แม่เหียะโมเดล ต้นแบบการยกระดับเทศบาลเมือง จ.เชียงใหม่ เป็น Smart city ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

 


เมื่อพูดถึง เทศบาลเมืองแม่เหียะ จังหวัดเชียงใหม่ หลายคนอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่า เทศบาลแห่งนี้เองที่เป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ซึ่งมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ว่าใครจะมาเชียงใหม่ก็ต้องแวะไปสักการะอย่าง พระเจ้าทันใจ ที่ พระธาตุดอยคำ หรือ ที่แห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่จัด มหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ อันโด่งดัง และยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยศักยภาพการท่องเที่ยวและมีบรรยากาศที่เหมาะกับการอยู่อาศัยในอีกหลายด้าน แถมตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ ทั้งหมดนี้น่าจะทำให้ทุกคนได้รับรู้ถึงขีดความสามารถของเมืองนี้เพิ่มขึ้นได้ไม่มากก็น้อย และเชื่อว่าถ้ายิ่งได้ทราบถึงเรื่องราวการพัฒนาเมืองแห่งนี้ไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart city ก็จะยิ่งชื่นชมในผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้าง แม่เหียะโมเดล ให้เป็นต้นแบบการยกระดับเทศบาลเมือง จ.เชียงใหม่ อย่างแน่นอน

โดยภาคส่วนที่เข้ามามีบทบาทในความสำเร็จของการสร้าง แม่เหียะโมเดล นี้ นอกจากจะมี เทศบาลเมืองแม่เหียะแล้ว ยังมี หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ หรือ บพท. ที่ประสานงานกับอีกหลายหน่วยงานและหลายองค์กร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคชุมชน ให้นำผลงานวิจัยมาปรับใช้ โดยกำหนดให้ เทศบาลเมืองแม่เหียะ เป็นพื้นที่ศึกษา หรือ (Research Area)

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแผนการพัฒนา แม่เหียะโมเดล ให้เป็นสมาร์ทซิตี้ ต่างระดมสมองเพื่อหาแนวทางในการพัฒนากลไกและยกระดับพื้นที่ด้วยการใช้ข้อมูลเปิด 84 ชั้นข้อมูล ของเทศบาลฯมาพัฒนาและออกแบบเป็นแพลตฟอร์มระบบข้อมูลเมือง (City Data Platform) ซึ่งเป็น Dashboard ที่รวบรวมข้อมูลในพื้นที่ทั้งหมดที่จะมารองรับการพัฒนาเมืองในด้านต่างๆ อย่างครอบคลุม


ไม่ว่าจะเป็นการจราจรและความปลอดภัย ความยั่งยืนทางอาหาร คุณภาพชีวิต สาธารณสุข การท่องเที่ยว โครงสร้างพื้นฐานทั้งสาธารณูปโภค ในรูปแบบ Market Place ของเมือง โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาการจัดการเมืองโดยกระบวนการเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ดิจิทัลต่อไป

มาในวันนี้ แทบทุกพื้นที่ในเทศบาลเมืองแม่เหียะ ล้วนได้รับการปรับเปลี่ยนและพัฒนาในหลายรูปแบบด้วยนวัตกรรมและงานวิจัย จนได้ชื่อว่าเป็น เทศบาลเมืองต้นแบบในระดับประเทศ ที่มีผู้มาศึกษาดูงานกลายกลุ่ม หลายคณะในแต่ละเดือน ซึ่งนี่เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของภารกิจที่ บพท. ฟันเฟืองหลักที่จะนำการพัฒนากระจายลงสู่ทุกพื้นที่ในประเทศไทยด้วยการกำหนดภารกิจต่างๆตอบสนองเป้าหมายหลัก คือ

“การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและลดความเหลื่อมล้ำผ่านการมองภาพใหญ่ของการพัฒนาประเทศ (Big Picture) แล้วใช้งานวิจัยและนวัตกรรมสร้างการเปลี่ยนแปลง ผ่านการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน การพัฒนากลุ่มอาชีพ การแก้ไขปัญหาความยากจนและการพัฒนาเมือง”

ถอดรหัสความสำเร็จของ แม่เหียะโมเดล สมาร์ทซิตี้แห่งเมืองเชียงใหม่

หนึ่งใน Key person ที่มีบทบาทอย่างยิ่งในการเปิดรับและปรับเอาเทคโนโลยี นวัตกรรม และงานวิจัย มาเป็นเครื่องมือในการพัฒนา แม่เหียะสมาร์ทซิตี้ เป็นใครไปไม่ได้นอกจากพ่อเมืองแม่เหียะ อย่าง ธนวัฒน์ ยอดใจ นายกเทศมนตรีเมืองแม่เหียะ จังหวัดเชียงใหม่ ที่คลุกคลีอยู่ในวงการบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนี้มากว่า 22 ปี จนได้รับความเชื่อมั่นในฐานะผู้นำที่มีความตั้งใจและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน พร้อมลงมือเปลี่ยนแปลงและพัฒนาท้องถิ่น จับมือประชาชนก้าวไปสู่โลกอนาคตด้วยเทคโนโลยี โดยแนวคิดและความตั้งใจในการบริหารเทศบาลเมืองแม่เหียะสื่ออกมาผ่านแนวทางง่ายๆ คือ

“ในกระบวนการการพัฒนาเมือง ต้องรวมถึงการดูแลพี่น้องประชาชนในเรื่องน้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี ประเพณีคงอยู่ การศึกษา วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงคุณภาพชีวิตของประชาชน เราจะทำอย่างไรให้กระบวนการการดูแลพี่น้องประชาชนนั้นดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ฉับไว เข้าถึงง่าย เราถึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงเมืองของเรา ด้วยคนของเราเอง”

และเครื่องมือสำคัญที่ คุณธนวัฒน์ นำมาปรับใช้เป็นหลัก นั่นคือ การจัดทำฐานข้อมูลอัจฉริยะ การพัฒนารายได้ และศูนย์บริการเป็นเลิศ สมาร์ทซิตี้ ซึ่งทำให้ เทศบาลเมืองแม่เหียะ ได้รับรางวัลที่ 1 ประเภทโดดเด่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดี ประจำปี พ.ศ.2563 มาครองได้สำเร็จ

“ตลอดเวลาที่ได้มาเป็นนายกเทศบาลเมืองแม่เหียะ เราจะได้ได้เห็นประชาชนที่มาติดต่อ หรือร้องทุกข์ ต้องผ่านขั้นตอนที่ยุ่งยากและใช้เวลานาน ประชาชนในพื้นที่เมืองแม่เหียะต้องใช้เวลาเดินทาง ต่อคิว และนั่งรอเป็นเวลานานในการติดต่อธุระทางราชการ ซึ่งภาพนี้ทำให้ผมและทีมงานต้องการพัฒนาและปรับเปลี่ยนให้การบริการประชาชนชาวแม่เหียะนั้นมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกว่านี้”

“และเพื่อลดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยาก และซับซ้อน จึงให้ไอเดียแก่นักออกแบบในการแบ่งพื้นที่ให้เป็นสัดส่วน เพื่อให้ประชาชนเข้ามาใช้งานได้สะดวก เจ้าหน้าที่ทำงานได้อย่างมีความสุข สบาย ลดขั้นตอนการทำงาน เพื่อประสิทธิภาพงานที่ดียิ่งขึ้น”


“โดยการเปลี่ยนรูปแบบการบริการสาธารณะรูปแบบใหม่ของเทศบาลแม่เหียะ เป็นการใช้ไอเดีย ‘วัน สต็อป เซอร์วิส’ หรือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาสู่กระบวนการบริการสาธารณะ เป็นแนวคิดที่ต้องการอำนวยความสะดวกให้ผู้มาติดต่อราชการสามารถรับบริการจากหน่วยงานราชการต่างๆ ได้ในที่แห่งเดียว นั่นคือ ‘ศูนย์บริการเป็นเลิศ’ เพื่อสามารถให้บริการได้อย่างครบถ้วน รวดเร็ว ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย”
“นอกจากนั้น ยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเป็นการนำเทคโนโลยีเข้าสู่กระบวนการการทำงานแก่ประชาชน โดยใช้ระบบมือถือ คือ แอปพลิเคชัน “เทศบาลเมืองแม่เหียะ” ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการให้บริการของเทศบาลได้ทุกที่ เรียกว่า ประชาชนอยู่ที่ไหน เทศบาลอยู่นั่น เพียงแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดแอปพลิเคชันก็เจอกันแล้ว”
“ไม่ว่าประชาชนจะร้องทุกข์ แจ้งรายงาน หรือขออนุมัติ สามารถทำได้ครบ จบที่แอปพลิเคชั่นเดียว ทั้งยังสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ด้วย เพราะสามารถประมวลผลการทำงานของแต่ละกองได้เป็นรายสัปดาห์ รายเดือน และรายปี ซึ่งตัวผม นายกเทศมนตรีฯ ก็สามารถติดตามดูรายงานได้ตลอดเวลา และเนื่องจากเป็นระบบออนไลน์ เทศบาลจึงต้องจัดทำฐานข้อมูล เพื่อวางแผนพัฒนาองค์กรต่อไปด้วย”

ระบบฐานข้อมูลที่แม่นยำ กลไกสำคัญของการสร้าง แม่เหียะโมเดล สมาร์ทซิตี้

ความสมาร์ทที่เราพบเจอที่เทศบาลเมืองแม่เหียพ ที่ทำให้เราต้องแปลกใจ นั่นคือ ระบบฐานข้อมูล ที่ทันสมัยสำหรับจัดการเก็บข้อมูลต่างๆ ไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อใช้บริหารองค์กร และวางแผนพัฒนาท้องถิ่น ซึ่งการมีฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ แม่นยำ นี้เองที่จะส่งผลต่อการทำงานของเทศบาลในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อวางแผนการพัฒนาพื้นที่ได้ดียิ่งขึ้น


“ภายในสำนักงานจึงมีอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำฐานข้อมูลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโดรน กล้อง 360 องศา และกล้องวัดระยะ ซึ่งการทำงานของโดรน จะใช้สำหรับแยกประเภทที่ดินของเมือง เช่น พื้นที่ทำการพาณิชย์ พื้นที่เกษตรกรรม เพื่อทำการวางระบบจัดเก็บภาษี ปี 2565 ซึ่งการวางระบบการจัดเก็บภาษีที่ดินใหม่โดยอาศัยเทคโนโลยีโดรนนี้ ทำให้ทางเทศบาลสามารถจัดเก็บภาษีที่ดินได้เพิ่มถึง 200 เปอร์เซ็นต์”
โดย นายกเทศมนตรีเมืองแม่เหียะ ยังย้ำถึงหัวใจสำคัญของการบริหารองค์กรส่วนท้องถิ่นในยุคปัจจุบันเพื่อมุ่งสู่การเป็น Smart city ด้วยว่า
“การพัฒนาท้องถิ่นทำได้แค่ไหนขึ้นอยู่กับฐานข้อมูล จึงต้องมีการดำเนินการทำฐานข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนที่เสียภาษี ว่าเป็นการเก็บภาษีที่ถูกต้อง ถูกระเบียบ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้”

นอกจากนั้น ที่ผ่านมา ยังมีการปรับเอางานวิจัยหลากหลาย ด้วยการประสานงานร่วมกันกับ บพท. และหลากหลายหน่วยงาน อาทิ

โครงการเมืองสีเขียวโดยการพัฒนาแปลงปลูกพืชผักอินทรีย์ปลอดสารพิษ เสริมสร้างเศรษฐกิจระดับชุมชน

มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรายได้ให้ผู้เปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และสร้างการมีส่วนร่วมกับภาคีเครือข่ายในการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ พื้นที่ปลูกเกษตรอินทรีย์อย่างต่อเนื่อง ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจระดับชุมชนในพื้นที่เทศบาลแม่เหียะ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างเทศบาลและผู้มีรายได้น้อย

แพลตฟอร์มระบบข้อมูลเมือง (City Data Platform)

  • แพลตฟอร์มกลางเชื่อมต่อแพลตฟอร์มย่อยที่ช่วยในการดำเนินการในพื้นที่ ประกอบด้วย
  • แพลตฟอร์มระบบข้อมูลเมือง (City Data Platform) ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการต่อยอดการบริหารจัดการเชิงนโยบายและการบริหารจัดการแก้ปัญหาในพื้นที่
  • แพลตฟอร์มระบบบริหารจัดการ (Market Place) เพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าและบริการของคนในพื้นที่ เป็นแพลตฟอร์มสำหรับซื้อขายสินค้าในชุมชน เพิ่มช่องทางการสร้างรายได้ของผู้ประกอบการ ทำให้เกิดโครงสร้างเศรษฐกิจแบบ Social Enterprise
  • แพลตฟอร์ม HUG MAEHIA “ฮักแม่เหียะ” จัดทำขึ้นเพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่เทศบาลเมืองแม่เหียะ อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการแจ้งข้อมูลต่างๆ และยังมีข้อมูลพื้นพื้นฐานสนับสนุนการบริหารจัดการด้านต่างๆ และยังดำเนินการเฝ้าระวัง สอบสวน ควบคุมและผ่อนคลายมาตรการในอนาคตได้ และเปิดให้ประชาชนได้ลงทะเบียนเมื่อเดินทางเข้ามาในพื้นที่ตำบลแม่เหียะ

“การพัฒนาเมือง ถือเป็น “จุดคานงัด” ของประเทศไทย เพราะเป็นจุดที่สร้างเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเศรษฐกิจเติบโตได้ในเมือง 20-60 เปอร์เซ็นต์ เพราะเมืองเป็นแหล่งการจ้างงาน แหล่งโลจิสติกส์ เพราะฉะนั้น คานงัด ของประเทศไทย นอกจากชุมชน พื้นที่ สังคม หมู่บ้าน รวมไปถึงเศรษฐกิจฐานรากทั้งหมด ยังต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ ให้ไปเชื่อมโยงต่อสู่การพัฒนาพื้นที่เป็นเป้าหมายหลัก ในตอนนั้น เราจึงมีการวางแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ และเป็นที่มาของการกำหนดชื่อเมือง 30 เมือง โดยมีเกณฑ์การคัดเลือกเมืองที่รัฐบาลควรนำร่องสนับสนุน อยู่ 3 ด้าน คือ ภูมิศาสตร์ทางกายภาพ คือ ถ้าเมืองนี้เติบโต ก็จะพาเอาพื้นที่ข้างๆโดยรอบเติบโตไปด้วยได้ สอง คือ จำนวนประชากร และสาม คือ โครงสร้างพื้นฐาน ที่มีรัฐบาลลงทุนอยู่แล้ว เช่นโลจิสติกส์ การคมนาคม ซึ่งจะทำให้ไม่ต้องลงทุนเพิ่มมากนัก”

“โดยในแผนแม่บทแรก ในช่วง 5 ปี ก็จะคัดเลือกเมืองนำร่องมาทั้งหมด 6 -7 เมือง โดยมีเมืองในเชียงใหม่เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งเราพบว่า นอกเหนือจากท้องถิ่นที่ต้องมาช่วยกัน จะต้องมีธุรกิจท้องถิ่นที่มีกำลังเข้ามาร่วมด้วย เป็นที่มาของการก่อตั้งบริษัทพัฒนาเมือง เช่น เชียงใหม่พัฒนาเมือง ขอนแก่นพัฒนาเมือง และภูเก็ตพัฒนาเมือง”

“เมื่อได้โมเดลการพัฒนาเมือง สิ่งที่ต้องทำให้เกิดขึ้นต่อไปคือ Open Data คือการแชร์ข้อมูล ต่อมาก็ต้องทำ Urban Solution เพื่อวิเคราะห์ให้เห็นมิติการพัฒนาเมืองที่ไม่เหมือนกัน เช่น มิติด้านการศึกษา เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เป็นต้น นี่เป็นสาเหตุให้เราเปิด Low carbon city, Green city, Learning city หรือ Creative city สุดท้าย ทั้งหมดจะนำไปสู่แผนการลงทุนในเมือง โดยมีธุรกิจในเมืองเข้ามาร่วมด้วย เพื่อหาโอกาสการลงทุน”

“นอกจากนั้น ในการพัฒนาเมือง ต้องมีการทรานสฟอร์มเมืองให้เป็นดิจิทัล ซึ่งมีหลายระดับ ตั้งแต่ Digitalization ที่จะรวบรวม Data เข้ามาไว้ในแพลตฟอร์ม ขั้นต่อไปคือ Digitization ซึ่งขั้นนี้เองที่ เรามี แม่เหียะโมเดล เป็นต้นแบบ คือการนำ Data ที่เก็บไว้มาลงในระบบคลาวด์ และมาถึงระดับที่สาม ที่ บพท. มีส่วนเข้ามาช่วยทางแม่เหียะ คือ การทำ Digital Transformation โดยมีเป้าหมายในการก้าวสู่ Metaverse โดย บพท. มาเสริมกำลังในส่วนของการจัดการทางดิจิทัลของเทศบาลเมืองแม่เหียะ”

“และเพื่อให้เกิดการบูรณาการทุกภาคส่วนให้เข้ามามีบทบาทในการร่วมพัฒนาท้องถิ่น เราได้สนับสนุนให้ทางเทศบาลฯ สร้างการมีส่วนร่วมกับทางประชาชนด้วย โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาให้ Feedback และมาสร้าง 3D Model เทศบาลแม่เหียะ เพื่อให้เขาเห็นว่าในเทศบาลเขาจะมีส่วนร่วมและเป็นจิ๊กซอว์ตัวไหน ซึ่งจะนำสู่การวิเคราะห์พื้นที่ทางเศรษฐกิจโอกาสใหม่ จนเกิดแพลตฟอร์ม Market Place แพลตฟอร์ม Low carbon โดยดึงภาคเอกชนที่ต้องการจะลงทุนร่วมกับเทศบาล หรือดึงสตาร์ทอัพเข้ามาสร้างโอกาสทางธุรกิจในชุมชนตรงนี้ ควบคู่ไปกับการสร้างคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้ดีขึ้นด้วย”

“ในอนาคตอันใกล้ เรามองว่า เมื่อสร้าง แม่เหียะให้เป็นเมืองต้นแบบได้แล้ว เราจะใช้แม่เหียะเป็นหัวขบวนในการสร้าง “ขบวนเมือง” เป็นจุดตั้งต้นของการรวม Open Data ของเมืองอื่นๆในจังหวัดเข้าด้วยกัน ถ้าทำได้ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จะมีฐานข้อมูลเมืองที่มั่นคง เข้มแข็ง และต่อยอดไปสู่การพัฒนาเมืองได้อีกหลายมิติ”