สมาร์ทซิตี้กุญแจสำคัญต่อการยกระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
สมาร์ทซิตี้กุญแจสำคัญต่อการยกระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
สมาร์ทซิตี้กุญแจสำคัญต่อการยกระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
โดย ดร.กฤษฎา แก้ววัดปริง
ที่ปรึกษาสำนักวิจัยนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ
การพัฒนาเมืองอัจฉริยะหรือสมาร์ทซิตี้ไม่ใช่เพียงแค่เทรนด์ที่กำลังมาแรงในระดับโลก แต่เป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวผ่านกับดักรายได้ปานกลางและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13
การเชื่อมโยงสมาร์ทซิตี้กับการประเมิน HPA: โอกาสทองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่หลายคนอาจยังไม่ทราบ คือการที่สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจได้บรรจุการพัฒนาเมืองอัจฉริยะเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญของการประเมินองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพสูง (High-Potentiated Local Assessment: HPA) โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับตราสัญลักษณ์เมืองอัจฉริยะจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) จะได้รับคะแนนสูงสุดในการประเมินตัวชี้วัดที่ 6 ด้านนวัตกรรม
นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของคะแนนการประเมิน แต่สะท้อนถึงทิศทางการพัฒนาประเทศที่มุ่งใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการพัฒนาท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม
สถานการณ์ปัจจุบันและความท้าทาย
จากประสบการณ์การทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง ผมพบว่าหลายแห่งยังขาดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการออกแบบและจัดทำแผนแม่บทสมาร์ทซิตี้ที่ครบถ้วนตามมาตรฐานระดับประเทศและระดับสากล ทำให้เสียโอกาสในการยกระดับการบริการสาธารณะและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
ความท้าทายสำคัญไม่ใช่แค่เรื่องงบประมาณหรือเทคโนโลยี แต่คือกระบวนทัศน์ในการพัฒนาเมืองที่ต้องปรับเปลี่ยนจากการทำงานแบบแยกส่วนมาสู่การบูรณาการที่มองเมืองทั้งระบบ และต้องเข้าใจว่าสมาร์ทซิตี้ไม่ใช่แค่การติดตั้งกล้อง CCTV หรือ WiFi สาธารณะ แต่คือการออกแบบระบบนิเวศเมืองที่ยั่งยืนและตอบโจทย์ความต้องการของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง
แนวทางการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ที่ยั่งยืนสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
การพัฒนาสมาร์ทซิตี้ที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการทำงานอย่างเป็นระบบ โดยต้องครอบคลุมแกนการพัฒนาทั้ง 7 ด้าน ได้แก่
1. สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) – พัฒนาระบบติดตามคุณภาพอากาศและน้ำ การจัดการขยะอัจฉริยะ และพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืน
2. เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) – ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น ตลาดออนไลน์สำหรับสินค้าชุมชน และระบบสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย
3. ขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) – พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่เชื่อมโยงกัน แอปพลิเคชันสำหรับการเดินทาง และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า
4. พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) – ติดตั้งระบบพลังงานทดแทนในอาคารสาธารณะ ระบบไฟถนนอัจฉริยะ และมิเตอร์อัจฉริยะเพื่อตรวจสอบการใช้พลังงาน
5. พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) – พัฒนาทักษะดิจิทัลให้ประชาชน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และสร้างโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิต
6. การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living) – ยกระดับระบบสาธารณสุขด้วยเทคโนโลยี (Telehealth) ความปลอดภัยสาธารณะ และการเข้าถึงบริการสาธารณะผ่านดิจิทัล
7. การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance) – พัฒนาแพลตฟอร์มการให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) ระบบข้อมูลเปิด (Open Data) และการมีส่วนร่วมของประชาชนผ่านดิจิทัล
กรณีศึกษาความสำเร็จในประเทศไทย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นความสำเร็จของหลายเมืองในประเทศไทยที่เริ่มต้นพัฒนาสมาร์ทซิตี้ ไม่ว่าจะเป็นขอนแก่น ภูเก็ต เชียงใหม่ หรือแม้แต่เทศบาลขนาดกลางอย่างเทศบาลเมืองน่าน ที่ใช้เทคโนโลยีในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
สิ่งที่น่าสนใจคือ แต่ละเมืองมีจุดเน้นที่แตกต่างกันตามบริบทและความต้องการท้องถิ่น ซึ่งนี่คือหัวใจสำคัญของการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ที่ประสบความสำเร็จ – ไม่ใช่การคัดลอกโมเดลจากที่อื่น แต่เป็นการพัฒนาบนฐานอัตลักษณ์และศักยภาพของพื้นที่
ข้อเสนอแนะสู่ความสำเร็จ
สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กำลังเริ่มต้นการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ ผมขอเสนอแนะแนวทางดังนี้
1. เริ่มจากปัญหาและความต้องการที่แท้จริง – ให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อค้นหาโจทย์ที่แท้จริงของพื้นที่
2. จัดทำแผนแม่บทที่ครอบคลุมและเป็นระบบ – ออกแบบแผนพัฒนาระยะ 5 ปีที่ครอบคลุมทั้ง 7 ด้านของสมาร์ทซิตี้ โดยกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด และโครงการที่ชัดเจน
3. เริ่มต้นจากโครงการขนาดเล็กที่เห็นผลเร็ว (Quick Win) – สร้างความเชื่อมั่นและการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วยโครงการที่ตอบโจทย์ปัญหาเร่งด่วนและเห็นผลในระยะสั้น
4. พัฒนาบุคลากรควบคู่กับเทคโนโลยี – เสริมสร้างทักษะและความเข้าใจด้านดิจิทัลให้กับบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชน
5. สร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน – แสวงหาพันธมิตรทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และประชาสังคม เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนโครงการสมาร์ทซิตี้
6. วางรากฐานด้านธรรมาภิบาลข้อมูล – พัฒนาระบบการจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และคำนึงถึงความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
บทสรุป
การพัฒนาสมาร์ทซิตี้ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือในการยกระดับคะแนนประเมิน HPA แต่เป็นโอกาสสำคัญในการปฏิรูปการบริหารจัดการเมืองและการให้บริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุน ประหยัดทรัพยากร และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน
ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคือกลไกสำคัญที่จะช่วยให้การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเกิดประโยชน์อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและนโยบาย Thailand 4.0
ถึงเวลาแล้วที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งจะต้องให้ความสำคัญกับการวางแผนและพัฒนาสมาร์ทซิตี้ เพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคตและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนของเราในระยะยาว